เอนไซม์คืออะไร


เอนไซม์ คือ สารจำพวกโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นตัวเร่ง ปฏิกิริยา ชีวเคมีในร่างกาย ความบกพร่องของเอนไซม์ในร่างกายทำให้ปฏิกิริยาชีวเคมีต่างๆเช่น การย่อยอาหาร การขับถ่ายการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ   การขจัดสารพิษ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเลือดในร่างกายผิดปกติ
    
หาก ร่างกายขาด เอนไซม์ หรือ ปริมาณเอนไซม์ลดลงจะทำให้การทำงานของระบบต่างๆเช่น การย่อยอาหาร การขับถ่ายการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การขจัดสารพิษของร่างกายระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเลือดในร่างกายผิดปกติ




“เอนไซม์” คือโมเลกุลโปรตีนที่มีพลังงานสูง เพื่อใช้ในขบวนการย่อยและเผาผลาญอาหาร ร่างกาย ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากขาด “เอนไซม์” ร่างกายเราสามารถรับเอนไซม์ได้จาก 2 วิธีคือ

1. การรับประทานอาหารสด (ไม่ผ่านความร้อน)เนื่องจากการปรุงอาหารสุกโดยผ่าน “ความร้อน” ทำลาย “เอนไซม์” ไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อีกทั้งเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตเอ็นไซม์ลดน้อยลงเรื่อย ๆ และเมื่อได้รับเอนไซม์ไม่เพียงพอเพื่อการย่อย ก็ทำให้เกิดการหมักเน่าของอาหารตกค้างอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

2. การเสริม “เอนไซม์สดจากพืช” เป็นการสกัดเอนไซม์สดจากพืช เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหาร

ความสำคัญของเอ็นไซม์

            •เอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีในทุกๆ เซลล์ของร่างกาย
              ซึ่งมีมากกว่า 60 ล้านล้านเซลล์
    
            •การหายใจ การย่อยอาหาร การเจริญเติบโต การคิดและการนอนต้อง
             ใช้เอนไซม์
 
           •ถ้าขาดเอนไซม์ ชีวิตย่อมอยู่ไม่ได้ เช่นการทำปฏิกิริยาเคมีสร้าง
            ภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคเข้ามาจู่โจมร่างกาย ถ้าทำโดยไม่มีเอนไซม์ 
            ต้องใช้เวลา 3 เดือน เชื้อโรคฆ่าเราเสียก่อน

           •ถ้ามีเอนไซม์สมบูรณ์ ภูมิต้านทานจะเกิดเพียงในหนึ่งนาทีแรกที่
             เชื้อโรค
เข้ามาสู่ร่างกาย

           •นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเอนไซม์กันมากในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา
             และที่
ไม่รู้จักเรื่องราวของเอนไซม์อีกมาก
 
           •วงการแพทย์ให้ความสนใจประโยชน์ของเอนไซม์ในการป้องกัน
             และทำเป็นยาเพื่อรักษาโรค และการห้ามการทำงานของเอนไซม์  
             บางอย่างกลับมีประโยชน์ในการไปรักษาอาการของโรคได้
 
           •อนาคตข้างหน้าภายในไม่เกิน 30 ปี เอนไซม์จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ใน
            วงการแพทย์ และยอมรับว่า เอนไซม์คือ พลังงานสำคัญต่อชีวิต 
            (Life Force)

สภาพเมื่อขาดเอนไซม์


สภาพเมื่อขาดเอนไซม์

สภาพของร่างกายเมื่อมีการขาดเอนไซม์เกิดขึ้น (Enzyme Deficiency Conditions)

อาการที่แสดงว่าร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency)

อาการที่ท่านรู้สึกด้วยตัวเอง (Symptom)ว่าท่านน่าจะขาดเอนไซม์ คือ
  • รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
  • อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
  • ท้องผูก
  • ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
  • ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็น
  • อุจจาระจมน้ำ และอุจจาระเหม็นมาก
  • มีกลิ่นปาก
  • มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
  • เวลาเป็นแผลจะหายช้า
  • น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย
อาการที่แพทย์ตรวจพบ (Sign)ว่าท่านกำลังขาดเอนไซม์ คือ
  • ตับอ่อนบวม
  • เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
  • น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
  • ใน ปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดจากอาหารไม่ย่อยจึงบูดในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับน้ำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ทิ้งออกทางปัสสาวะ
  • ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
  • ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย

ในอดีตเมื่อเราพูดว่าร่างกายขาดเอนไซม์ คือสภาวะอาหารไม่ย่อยแต่เมื่อศึกษาค้นคว้ามากขึ้น ในปัจจุบัน เราพบอาการต่างๆ อีกมากมาย เราสามารถแบ่งสภาพของการมีเอนไซม์บกพร่องออกได้เป็น 
3 ชนิดคือ
 
  1. สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (ProteaseDeficiency Conditions)
  2. สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions
  3. สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)


สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (Protease Deficiency Conditions)



ร่างกาย จะไม่สามารถย่อยโปรตีนให้มาเป็นสารอาหารชนิด 

กรดอะมิโน จึงเกิดอาการของโรคขาดโปรตีน (Protein Deficiency Symptom) มีความเป็นด่างสูงมากเกินไปในเลือด อาจมากกว่า pH 8.0 (Alkaline Excess) ซึ่งปกติมีค่า pH 7.4 การที่ร่างกายขาดความสมดุล (Homeostasis) เพราะด่างสูง กลายเป็นต้นเหตุของความรู้สึกกระวนกระวาย (Anxiety) จนบางคนต้องใช้ยากล่อมประสาทช่วย    ดังนั้นควรให้กินเอนไซม์เสริมชนิดโปรตีเอส ก็จะช่วยให้ดีขึ้น 

ถ้าโปรตีนมีจำนวนต่ำในเลือด (Protein Deficiency) ทำให้เกิดอาการขาดแคลนแคลเซียมร่วมด้วย (Calcium Deficiency) แคลเซียมจะต้องอาศัยเกาะติดโปรตีนเมื่อเวลาไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต ทำให้มีอาการข้ออักเสบ (Arthritis) ตามมาพร้อมโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) หมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Problem) ฯลฯ ร้อยละ 45 ของโปรตีนในรูปของกรดอะมิโนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในตับ

การที่โปรตีนไม่สามารถถูกย่อยได้จึงทำให้เกิดสภาวะน้ำตาลกลูโคสต่ำในเลือด (Hypoglycemia) ตามมา เป็นเหตุให้สมองขาดน้ำตาลกลูโคส เกิดความรู้สึกหงุดหงิด (Moody) รำคาญ และฉุนเฉียวง่าย

 
การขาดเอนไซม์โปรตีเอสก่อให้เกิดโรคขาดสารอาหารประเภทโปรตีน
การขาดโปรตีนในเลือดทำให้เกิดอาการบวมทั้งตัว (Edema) การย่อยโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีกากอาหารที่ไม่ย่อย (Undigested Protien) ไปสะสมบริเวณลำไส้ใหญ่ (Colon) เป็นสาเหตุการเกิดสารพาลำไส้ใหญ่อักเสบ (Mucous Colitis) ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) และอาจถึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) ได้ โรคตามมาที่คาดไม่ถึงคือ ในเด็กมักเป็นโรคช่องหูอักเสบเรื้อรัง หรือ หูน้ำหนวก (Otitis Media) กับโพรงจมูกของใบหน้าอักเสบ (Sinusitis) การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะและใช้เอนไซม์โปรตีเอสร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น

 
 

ผลของการขาดโปรตีเอสที่กระทบโดยตรง อีกประการก็คือ ทำให้
ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหลายเป็นโปรตีนหรือบางชนิดก็มีโปรตีนเป็นตัว หุ้ม และโปรตีเอสเป็นเอนไซม์ที่สามารถย่อยเยื่อหุ้มที่เป็นโปรตีนให้แตกออกเพื่อ ให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายเข้าถึงตัวและทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้โดยง่าย


 
สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions)
เอน ไซม์อไมเลสย่อย แป้ง ข้าว ให้เป็นสารประกอบเชิงเดี่ยว (Monosaccharide) เช่น น้ำตาลกลูโคส (Glucose) และย่อยเม็ดโลหิตขาวที่ตาย (คือ หนอง Pus)ให้หมด ไปดังนั้นถ้าร่างกายขาดเอนไซม์อไมเลส ท่านจะเกิดเป็นฝี (Abscess) ได้บ่อยๆ ผู้ป่วยที่ปวดฟัน เหงือกรอบฟันเป็นหนองง่ายมาก


การที่กินหวานจัดๆ ร่างกายต้องใช้เอนไซม์อไมเลสมากจนผลิตไม่ทัน จึงทำให้เป็นฝีง่าย นอกจากนั้นยังเป็นที่ปอดและผิวหนังได้ง่ายอีกด้วยปอด และผิวหนังเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับโลกภายนอกที่เต็มไป
ด้วยมลภาวะการขาดเอนไซม์อไมเลสจึงทำให้เกิดอักเสบได้ง่าย 

ถ้าเป็นที่ปอดอาจจะแสดงอาการของโรคหืด (Asthma) และถุงลมพอง (Emphysema) ส่วนผิวหนังจะมีอาการของโรคผิวหนังเป็นสะเก็ดพุพอง มีน้ำเหลือง (Eczema) หรือเป็นโรคผิวหนังชื่อ สะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคเริม (Herpes)การรักษาให้ใช้เอนไซม์เสริมเพื่อกินร่วมกับยา โดยให้มีเอนไซม์อไมเลสในสัดส่วนที่มากกว่าเอนไซม์อย่างอื่น


 
สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)
เอน ไซม์ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันและวิตามินชนิดละลายในไขมัน การขาดไลเปสจึงเกิดโคเลสเตอรอลสูงในเลือด(High Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglyceride) เป็นต้นเหตุของน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Atherosclerosis) ความดันโลหิตสูง ตามมาด้วยโรคหัวใจขาดเลือด(Heart Inflection) โรคลมปัจจุบันหรือสมองขาดเลือด (Stroke)
การขาดเอนไซม์ไลเปส ทำให้ความสามารถของเยื่อหุ้มเซลล์บกพร่องนั้นคือ สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายไม่อาจจะซึมผ่านเข้าเซลล์ ส่วนของเสียภายในเซลล์ก็ขับออกมาทิ้งข้างนอกไม่ได้



สำหรับอาการที่พบ บ่อยๆอีกอย่างคือ กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง (Muscle Spasm) โดยเริ่มเจ็บร้าวจากบริเวณหน้าอก ไหล่ ลามมาที่คอ ดูคล้ายๆ คอเคล็ด บางครั้งมีกล้ามเนื้อเกร็งที่ลำไส้ใหญ่ (Spastic Colon) อาการต่างๆ ทั้งหมดนี้ ถ้ากินเอนไซม์ไลเปสก็จะช่วยให้ทุเลาขึ้น

เหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องกินเอนไซม์เสริม

เหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องกินเอนไซม์เสริม

ร่างกายผลิตเอนไซม์ได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น
การ ทดลองที่โรงพยาบาลไมเคิลรีส (Michael Reese) สหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าเอนไซม์ (อไมเลส) ในน้ำลายของคนเราเมื่อวัยหนุ่มสาว (21-31 ปี) มีมากกว่าคนชรา (61-100 ปี) ถึง 30 เท่า ไม่มีปัญหาการย่อยอาหาร แต่เมื่อแก่ตัวลงกลับกินไม่ได้ เพราะเอนไซม์ย่อยอาหารเจือจางลง ทำให้อาการผิดปกติต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
การ ศึกษาของบาร์โตส และโกรช (Bartosและ Groh)โดยใช้ยากระตุ้นน้ำย่อยจากตับอ่อนแล้วมาวัดหาจำนวนเอนไซม์ (อไมเลส)พบว่า คนแก่จะมีเอนไซม์ออกมาน้อยกว่าคนหนุ่มสาวมาก เมตาบอลิคเอนไซม์ในเซลล์ต่างๆ ก็จะพลอยลดต่ำลงตาม ความชราก็จะปรากฎโฉมให้เห็นเร็วขึ้นเท่านั้น

ตับอ่อนของ มนุษย์มีน้ำหนักเพียง 3 ออนซ์ แต่ต้องทำงานหนักตลอดชีวิต มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า ตับอ่อนที่ผลิตเอนไซม์ก็เหมือนกับแม่พิมพ์ (Mold) ที่ใช้ปั๊มวัตถุดิบให้เป็นสินค้ารูปร่างต่างๆ เช่น ถ้วยแก้ว แม่พิมพ์ในอุตสาหกรรมก็มีอายุการใช้งาน ใช้นานๆ การปั๊ม จะลด จนต้องเลิกใช้งาน ตับอ่อนก็เช่นกัน ถ้าต้องปั๊มเอนไซม์ออกมามากๆ ก็ต้องหมดอายุเช่นกัน เราจึงควรจะให้ตับอ่อนของเราหมดอายุช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์ของสุขภาพตนเอง (The mold is good for number of copies before it has to be replaced)

การหุงต้ม การเตรียมอาหาร และการเก็บอาหารเป็นต้นเหตุที่ทำลายเอนไซม์ที่มีอยู่ในอาหารทำให้ อาหารที่กินไม่มีเอนไซม์ จำเป็นต้องใช้เอนไซม์ย่อยอาหารที่ร่างกายต้องผลิตออกมาเองจำนวนมาก ทำให้สิ้นเปลือง นอกจากนี้จำนวนเอนไซม์ที่ควรจะมีในอาหารตามธรรมชาติ ก็ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากในดินไม่มีแร่ธาตุเหมือนในอดีต การใช้รังสีเพื่อถนอมอาหาร การใส่สารกันเสีย การบรรจุกระป๋อง การใช้แก๊สบ่มผลไม้ ฯลฯ ล้วนทำให้เอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย จำเป็นต้องกินอาหารเสริมและเอนไซม์เสริมเพื่อชดเชย และช่วยไม่ให้ร่างกายต้องผลิตเอนไซม์เพิ่มออกมา

ทารกกินนมแม่ ได้เอนไซม์จากอาหาร (นมแม่)สมบูรณ์
นมผง นมสดที่ใช้ความร้อนทำลายเชื้อโรค นมข้นหวาน ล้วนเป็นอาหาร (ของเด็กทารก) ที่ไม่มีเอนไซม์เหลืออยู่ เป็นต้นเหตุให้มีอาหารที่ย่อยไม่หมดไปหมักหมนในลำไส้ใหญ่ เกิดสารพิษซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้เด็กเจ็บป่วยง่าย มีการเก็บข้อมูลพบว่าเด็กที่กินนมขวด มีอันตรายสูงกว่าเด็กที่กินนมแม่ถึง 56 เท่า

Dr.Andre Hakanson จากมหาวิทยาลัยลุนด์ สวีเดน ค้นพบว่า ถ้าเขาเติมนมแม่ลงไปในเซลล์มะเร็งที่เพาะเลี้ยงไว้ที่เจริญงอกงามอยู่จะตาย หมด เซลล์ดีๆ จะไม่ถูกทำลายเลย และพบว่าการกินอาหารสดนี้เป็นประโยชน์เพราะมีเอนไซม์ ถ้ากินอาหารสดไม่ได้หรือไม่พอก็ควรกินเอนไซม์เสริมเข้าไปช่วย

มีตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์อยู่ในอาหารตามธรรมชาติ เป็นจำนวนมาก (Natural Enzyme Inhibitor)
อาหาร ที่มนุษย์กินทุกชนิดจะมีตัวห้าม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของพืชและสัตว์ที่จะควบคุมและป้องกันไม่ให้เอนไซม์ย่อย และทำร้ายตัวมันเอง หรือเกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป หรือได้พาเอนไซม์ไปส่งถึงจุดมุ่งหมาย เมื่อเอนไซม์ขาดตัวควบคุมหรือขาดตัวห้าม เอนไซม์ก็จะเริ่มทำงานตามหน้าที่และบทบาทของมันอย่างสบาย

อาหาร ประเภทถั่วชนิดต่างๆ เมล็ดพืช ยอดผักหรือผลไม้ที่ยังอ่อน จะเป็นกลุ่มที่มีตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์อยู่มาก ดังนั้นการกินถั่วดิบๆ จึงทำให้เกิดอันตราย เพราะได้รับตัวห้ามเข้าไปมาก จนยับยั้งการทำงานหรืออาจทำลายเอนไซม์ของร่างกายได้อีกด้วย






เหตุผลที่กินเอนไซม์เสริม

จงทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย (Make it Simple)
นัก ปรัชญาท่านหนึ่งกล่าวว่า มุมมองที่สำคัญของชีวิตคือ จงมองทุกสิ่งที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย และกฎข้อแรกคือ “ถ้าจำเป็นแต่ไม่มี ก็หามา ถ้าไม่พอ ก็เอามาเสริม”ฟังดูธรรมดาดี ท่านจะนำไปใช้ในชีวิตจริงก็ไม่ผิดระเบียบอะไร

เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement)
ปู่ ย่า ตา ยาย มีอายุยืนยาวอยู่กันมาได้ไม่ต้องกินอาหารเสริมหรือกินเอนไซม์เสริม ถือว่าโชคดี เพราะเกิดมาในขณะที่สิ่งแวดล้อมสะอาด อาหารสด ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไม่มีการเติมสารเคมีให้พืชผัก ถ้าเราไปอ่านรายงานสถิติชีพของกระทรวงสาธารณสุข ย้อนหลังกลับไป จะพบว่าโรคหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และมะเร็งในสมัยนั้น แทบจะไม่มีให้เห็น ซึ่งคำว่ามะเร็งในสมัยนั้น จะเป็นคำที่แปลกประหลาดไม่เคยได้ยินมาก่อน

อาหารในปัจจุบันมีคุณภาพต่ำกว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
การ ปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ทำให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีมากและใช้ยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ทำให้พื้นที่เพาะปลูก (Soil Quality) เสื่อมโทรม เป็นผลให้พืชผัก มีสารอาหารที่ไม่บริบูรณ์เหมือนแต่ก่อน การเก็บพืชผักผลไม้ก่อนกำหนด ทำให้ลดคุณค่าของอาหารลงไปอีก รวมทั้งรสชาติของผลไม้จะผิดไป การเลือกพืชเพื่อเพาะปลูกไว้จำหน่ายก็เลือกแต่พืชที่มีพันธุ์ทนแมลง ทนกับการขนส่งระยะไกล มากกว่าจะเลือกพืชเพื่อให้คนบริโภคได้คุณค่าทางอาหาร

ใน ระยะแรก วิตามิน และเกลือแร่ เพียง 2 อย่างที่มีการมุ่งให้เป็นอาหารเสริม ใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ.2473), Dr.Wolfe ชาวเยอรมันได้ค้นพบประโยชน์และวิธีการใช้เอนไซม์ที่มาจากสัตว์ (Animal Enzyme) และในเวลาไล่เลี่ยกัน Dr. Howell ชาวอเมริกันได้ศึกษาประโยชน์ของเอนไซม์จากพืช ผลการศึกษาและวิจัยของท่านทั้งสอง ปูทางไปสู่การใช้เอนไซม์มาเป็นอาหารเสริมในปัจจุบัน (EnzymeSupplement)

การ วิจัยในปี ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ได้พิสูจน์ว่า ดี เอน เอ (DNA) ในเซลล์ของร่างกายเป็นผู้ควบคุมการผลิตเอนไซม์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เรามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ และถ้าเราแก่ตัวลงมาเมตาบอลิค เอนไซม์ก็จะผลิตได้น้อย เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แท้ที่จริงเกิดจากพื้นฐานของการขาดเอนไซม์ (Low Enzyme Level)

วิชา เอนไซม์ (Enzymology) เป็นวิชาใหม่เอี่ยมเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ.2528 และการใช้เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement) เริ่มเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ราว พ.ศ.2538 นี้เอง



เอนไซม์เปรียบเหมือนเม็ดเงินที่ฝากธนาคาร
ถ้าใช้อย่างเดียวหรือใช้อย่างฟุ่มเฟือย เงินในธนาคารก็หมดเร็ว
Dr. Edward Howell เป็นผู้บุกเบิกคนแรกเรื่องเอนไซม์ ไว้ว่า คนทั่วไปเบิกเอนไซม์จาก “ธนาคารเอนไซม์” (Enzyme Bank) และไม่ค่อยหากลับมาฝากคืนอีก ไม่เหมือนกับเบิกเงินจากธนาคาร เรามักจะพยายามหามาฝากคืนจะเป็นการกระทำที่ฉลาด ถ้าพยายามกักตุนเอนไซม์ที่เราผลิตเองในร่างกายเอาไว้ และหาเอนไซม์จากภายนอกมาใช้แทน

ผล การศึกษาต่างก็สรุปว่า เอนไซม์คือสมบัติที่มีค่าของชีวิต มีอย่างจำกัด จงใช้อย่างประหยัดธรรมชาติไม่ได้ให้เอนไซม์มากับร่างกายจนฟุ่มเฟือย นัก ชีวเคมีเชื่อว่า เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นในร่างกายแต่ละคนมีจำนวนจำกัด ดังนั้นต้องประหยัดเอนไซม์ ให้มีไว้ใช้นานที่สุด ถ้าต้องการมีอายุยาวและสุขภาพดีเอนไซม์ที่สำคัญที่สุดคือ เมตาบอลิค เอนไซม์(Metabolic Enzyme) ซึ่งสำคัญในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ของร่างกาย ต้านทานโรค ป้องกันความเสื่อมโทรม ถ้าเอนไซม์ ที่ใช้ใน การย่อยอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายต้องดึงเมตาบอลิค เอนไซม์ ทำให้หมดเปลือง พลังของชีวิต (Life Force) จึงบกพร่องและไม่เพียงพอ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้โดยง่ายถ้าท่านมีเอนไซม์สมบูรณ์อายุอยู่ได้ถึง 120 ปีเพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกา ชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) โอกาสที่ท่านจะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เกิดได้ง่ายมาก

ในหนังสือ “เอนไซม์ในอาหาร”(Food Enzyme) มีความตอนหนึ่งว่า สุขภาพ (Health) คือ ปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้ทุกเซลล์ของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุขอย่าคิดว่าเอนไซม์อย่าง เดียวก็พอ ท่านต้องมีนิสัย
รักสุขภาพด้วยนักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะมีระดับเอนไซม์ในเลือดต่ำกว่าปกติทุกราย

ผู้ ที่ต้องการมีอายุยืนและมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากต้องกินอาหารสดและอุดมด้วยเอนไซม์แล้ว ต้องรักษาสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เช่นออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ มีทัศนคติในชีวิตที่ดีไม่เครียด ไม่ดื่มสุรา ฯลฯ ท่านจะมีชีวิตที่ยืนยาว ถ้ามีการทำงานของเอนไซม์ตามปกติ หากเอนไซม์ในร่างกายใช้หมดเปลืองเร็วเท่าใด ชีวิตก็จะสั้นเร็วเท่านั้น (The faster the metabolic rate , the shorter the life span)







เหตุผลที่กินเอนไซม์เสริม

จงทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย (Make it Simple)
นัก ปรัชญาท่านหนึ่งกล่าวว่า มุมมองที่สำคัญของชีวิตคือ จงมองทุกสิ่งที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย และกฎข้อแรกคือ “ถ้าจำเป็นแต่ไม่มี ก็หามา ถ้าไม่พอ ก็เอามาเสริม”ฟังดูธรรมดาดี ท่านจะนำไปใช้ในชีวิตจริงก็ไม่ผิดระเบียบอะไร

เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement)
ปู่ ย่า ตา ยาย มีอายุยืนยาวอยู่กันมาได้ไม่ต้องกินอาหารเสริมหรือกินเอนไซม์เสริม ถือว่าโชคดี เพราะเกิดมาในขณะที่สิ่งแวดล้อมสะอาด อาหารสด ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไม่มีการเติมสารเคมีให้พืชผัก ถ้าเราไปอ่านรายงานสถิติชีพของกระทรวงสาธารณสุข ย้อนหลังกลับไป จะพบว่าโรคหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และมะเร็งในสมัยนั้น แทบจะไม่มีให้เห็น ซึ่งคำว่ามะเร็งในสมัยนั้น จะเป็นคำที่แปลกประหลาดไม่เคยได้ยินมาก่อน

อาหารในปัจจุบันมีคุณภาพต่ำกว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
การ ปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ทำให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีมากและใช้ยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ทำให้พื้นที่เพาะปลูก (Soil Quality) เสื่อมโทรม เป็นผลให้พืชผัก มีสารอาหารที่ไม่บริบูรณ์เหมือนแต่ก่อน การเก็บพืชผักผลไม้ก่อนกำหนด ทำให้ลดคุณค่าของอาหารลงไปอีก รวมทั้งรสชาติของผลไม้จะผิดไป การเลือกพืชเพื่อเพาะปลูกไว้จำหน่ายก็เลือกแต่พืชที่มีพันธุ์ทนแมลง ทนกับการขนส่งระยะไกล มากกว่าจะเลือกพืชเพื่อให้คนบริโภคได้คุณค่าทางอาหาร

ในระยะแรก วิตามิน และเกลือแร่ เพียง 2 อย่างที่มีการมุ่งให้เป็นอาหารเสริม ใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ.2473), Dr.Wolfe ชาวเยอรมันได้ค้นพบประโยชน์และวิธีการใช้เอนไซม์ที่มาจากสัตว์ (Animal Enzyme) และในเวลาไล่เลี่ยกัน Dr. Howell ชาวอเมริกันได้ศึกษาประโยชน์ของเอนไซม์จากพืช ผลการศึกษาและวิจัยของท่านทั้งสอง ปูทางไปสู่การใช้เอนไซม์มาเป็นอาหารเสริมในปัจจุบัน (EnzymeSupplement)

การวิจัยในปี ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ได้พิสูจน์ว่า ดี เอน เอ (DNA) ในเซลล์ของร่างกายเป็นผู้ควบคุมการผลิตเอนไซม์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เรามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ และถ้าเราแก่ตัวลงมาเมตาบอลิค เอนไซม์ก็จะผลิตได้น้อย เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แท้ที่จริงเกิดจากพื้นฐานของการขาดเอนไซม์ (Low Enzyme Level)

วิชาเอนไซม์ (Enzymology) เป็นวิชาใหม่เอี่ยมเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ.2528 และการใช้เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement) เริ่มเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ราว พ.ศ.2538 นี้เอง

เหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องกินเอนไซม์เสริม

ร่างกายผลิตเอนไซม์ได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น
การ ทดลองที่โรงพยาบาลไมเคิลรีส (Michael Reese) สหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าเอนไซม์ (อไมเลส) ในน้ำลายของคนเราเมื่อวัยหนุ่มสาว (21-31 ปี) มีมากกว่าคนชรา (61-100 ปี) ถึง 30 เท่า ไม่มีปัญหาการย่อยอาหาร แต่เมื่อแก่ตัวลงกลับกินไม่ได้ เพราะเอนไซม์ย่อยอาหารเจือจางลง ทำให้อาการผิดปกติต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
การ ศึกษาของบาร์โตส และโกรช (Bartosและ Groh)โดยใช้ยากระตุ้นน้ำย่อยจากตับอ่อนแล้วมาวัดหาจำนวนเอนไซม์ (อไมเลส)พบว่า คนแก่จะมีเอนไซม์ออกมาน้อยกว่าคนหนุ่มสาวมาก เมตาบอลิคเอนไซม์ในเซลล์ต่างๆ ก็จะพลอยลดต่ำลงตาม ความชราก็จะปรากฎโฉมให้เห็นเร็วขึ้นเท่านั้น

ตับอ่อนของมนุษย์มีน้ำหนักเพียง 3 ออนซ์ แต่ต้องทำงานหนักตลอดชีวิต มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า ตับอ่อนที่ผลิตเอนไซม์ก็เหมือนกับแม่พิมพ์ (Mold) ที่ใช้ปั๊มวัตถุดิบให้เป็นสินค้ารูปร่างต่างๆ เช่น ถ้วยแก้ว แม่พิมพ์ในอุตสาหกรรมก็มีอายุการใช้งาน ใช้นานๆ การปั๊ม จะลด จนต้องเลิกใช้งาน ตับอ่อนก็เช่นกัน ถ้าต้องปั๊มเอนไซม์ออกมามากๆ ก็ต้องหมดอายุเช่นกัน เราจึงควรจะให้ตับอ่อนของเราหมดอายุช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์ของสุขภาพตนเอง (The mold is good for number of copies before it has to be replaced)

การหุงต้ม การเตรียมอาหาร และการเก็บอาหารเป็นต้นเหตุที่ทำลายเอนไซม์ที่มีอยู่ในอาหารทำให้ อาหารที่กินไม่มีเอนไซม์ จำเป็นต้องใช้เอนไซม์ย่อยอาหารที่ร่างกายต้องผลิตออกมาเองจำนวนมาก ทำให้สิ้นเปลือง นอกจากนี้จำนวนเอนไซม์ที่ควรจะมีในอาหารตามธรรมชาติ ก็ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากในดินไม่มีแร่ธาตุเหมือนในอดีต การใช้รังสีเพื่อถนอมอาหาร การใส่สารกันเสีย การบรรจุกระป๋อง การใช้แก๊สบ่มผลไม้ ฯลฯ ล้วนทำให้เอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย จำเป็นต้องกินอาหารเสริมและเอนไซม์เสริมเพื่อชดเชย และช่วยไม่ให้ร่างกายต้องผลิตเอนไซม์เพิ่มออกมา

ทารกกินนมแม่ ได้เอนไซม์จากอาหาร (นมแม่)สมบูรณ์
นมผง นมสดที่ใช้ความร้อนทำลายเชื้อโรค นมข้นหวาน ล้วนเป็นอาหาร (ของเด็กทารก) ที่ไม่มีเอนไซม์เหลืออยู่ เป็นต้นเหตุให้มีอาหารที่ย่อยไม่หมดไปหมักหมนในลำไส้ใหญ่ เกิดสารพิษซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้เด็กเจ็บป่วยง่าย มีการเก็บข้อมูลพบว่าเด็กที่กินนมขวด มีอันตรายสูงกว่าเด็กที่กินนมแม่ถึง 56 เท่า

Dr.Andre Hakanson จากมหาวิทยาลัยลุนด์ สวีเดน ค้นพบว่า ถ้าเขาเติมนมแม่ลงไปในเซลล์มะเร็งที่เพาะเลี้ยงไว้ที่เจริญงอกงามอยู่จะตาย หมด เซลล์ดีๆ จะไม่ถูกทำลายเลย และพบว่าการกินอาหารสดนี้เป็นประโยชน์เพราะมีเอนไซม์ ถ้ากินอาหารสดไม่ได้หรือไม่พอก็ควรกินเอนไซม์เสริมเข้าไปช่วย

มีตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์อยู่ในอาหารตามธรรมชาติ เป็นจำนวนมาก (Natural Enzyme Inhibitor)
อาหาร ที่มนุษย์กินทุกชนิดจะมีตัวห้าม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของพืชและสัตว์ที่จะควบคุมและป้องกันไม่ให้เอนไซม์ย่อย และทำร้ายตัวมันเอง หรือเกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป หรือได้พาเอนไซม์ไปส่งถึงจุดมุ่งหมาย เมื่อเอนไซม์ขาดตัวควบคุมหรือขาดตัวห้าม เอนไซม์ก็จะเริ่มทำงานตามหน้าที่และบทบาทของมันอย่างสบาย

อาหารประเภทถั่วชนิดต่างๆ เมล็ดพืช ยอดผักหรือผลไม้ที่ยังอ่อน จะเป็นกลุ่มที่มีตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์อยู่มาก ดังนั้นการกินถั่วดิบๆ จึงทำให้เกิดอันตราย เพราะได้รับตัวห้ามเข้าไปมาก จนยับยั้งการทำงานหรืออาจทำลายเอนไซม์ของร่างกายได้อีกด้วย


เอนไซม์เปรียบเหมือนเม็ดเงินที่ฝากธนาคาร
ถ้าใช้อย่างเดียวหรือใช้อย่างฟุ่มเฟือย เงินในธนาคารก็หมดเร็ว
Dr. Edward Howell เป็นผู้บุกเบิกคนแรกเรื่องเอนไซม์ ไว้ว่า คนทั่วไปเบิกเอนไซม์จาก “ธนาคารเอนไซม์” (Enzyme Bank) และไม่ค่อยหากลับมาฝากคืนอีก ไม่เหมือนกับเบิกเงินจากธนาคาร เรามักจะพยายามหามาฝากคืนจะเป็นการกระทำที่ฉลาด ถ้าพยายามกักตุนเอนไซม์ที่เราผลิตเองในร่างกายเอาไว้ และหาเอนไซม์จากภายนอกมาใช้แทน

ผล การศึกษาต่างก็สรุปว่า เอนไซม์คือสมบัติที่มีค่าของชีวิต มีอย่างจำกัด จงใช้อย่างประหยัดธรรมชาติไม่ได้ให้เอนไซม์มากับร่างกายจนฟุ่มเฟือย นัก ชีวเคมีเชื่อว่า เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นในร่างกายแต่ละคนมีจำนวนจำกัด ดังนั้นต้องประหยัดเอนไซม์ ให้มีไว้ใช้นานที่สุด ถ้าต้องการมีอายุยาวและสุขภาพดีเอนไซม์ที่สำคัญที่สุดคือ เมตาบอลิค เอนไซม์(Metabolic Enzyme) ซึ่งสำคัญในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ของร่างกาย ต้านทานโรค ป้องกันความเสื่อมโทรม ถ้าเอนไซม์ ที่ใช้ใน การย่อยอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายต้องดึงเมตาบอลิค เอนไซม์ ทำให้หมดเปลือง พลังของชีวิต (Life Force) จึงบกพร่องและไม่เพียงพอ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้โดยง่ายถ้าท่านมีเอนไซม์สมบูรณ์อายุอยู่ได้ถึง 120 ปีเพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกา ชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) โอกาสที่ท่านจะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เกิดได้ง่ายมาก

ในหนังสือ “เอนไซม์ในอาหาร”(Food Enzyme) มีความตอนหนึ่งว่า สุขภาพ (Health) คือ ปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้ทุกเซลล์ของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุขอย่าคิดว่าเอนไซม์อย่าง เดียวก็พอ ท่านต้องมีนิสัย
รักสุขภาพด้วยนักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะมีระดับเอนไซม์ในเลือดต่ำกว่าปกติทุกราย

ผู้ ที่ต้องการมีอายุยืนและมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากต้องกินอาหารสดและอุดมด้วยเอนไซม์แล้ว ต้องรักษาสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เช่นออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ มีทัศนคติในชีวิตที่ดีไม่เครียด ไม่ดื่มสุรา ฯลฯ ท่านจะมีชีวิตที่ยืนยาว ถ้ามีการทำงานของเอนไซม์ตามปกติ หากเอนไซม์ในร่างกายใช้หมดเปลืองเร็วเท่าใด ชีวิตก็จะสั้นเร็วเท่านั้น (The faster the metabolic rate , the shorter the life span)




ความมหัศจรรย์ของเอนไซม์:ช่วยบำบัดโรคในร่างกาย



ดร. วนิดา นประโยชน์ศักดิ์


เมื่อเอ่ยถึงเอนไซม์... หลายท่านก็ทราบกันดีแล้วว่าคืออะไร แต่อาจจะมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบ
วันนี้เราจะพูดคุยถึงความมหัศจรรย์ของเอนไซม์กัน


เอนไซม์คืออะไร... เอนไซม์ เปรียบเสมือนกับสิ่งที่เป็นตัวจุดประกายของชีวิตที่อยู่ในร่างกาย ถ้าหาก
ในร่างกายของท่านไม่มีเอนไซม์ ท่านก็ไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ 
ของร่างกายได้และในที่สุดท่านก็จะตาย ดังนั้นเอนไซม์จึงเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมี 
หรือตัวคะตะไลต์ (catalyze) ที่จำเพาะ ซึ่งจะทำงานร่วมกับโคเอนไซม์

โคเอนไซม์ในที่นี้ก็คือ พวกวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย นั่นเองหลายท่านอาจจะไม่เคย

ทราบมาก่อนว่า วิตามินนั้นไม่สามารถกระตุ้นให้ทำงานได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ทำงานร่วมกับเอนไซม์

ดร.เอ็ด เวิร์ด เฮาเวลล์  ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับ

เอนไซม์ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. 2476 - 2486 กล่าวว่า "เรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์  มาตั้งแต่แรกเกิด
เปรียบเสมือนกับแบตเตอรี่อันใหม่ เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง แบตเตอรี่ดังกล่าวก็จะหมดอายุ การใช้งานไป 

ร่างกายเราก็เช่นกัน ถ้าหากมีการใช้แหล่งพลังงานจากเอนไซม์ไปมากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะสั้นมากขึ้น
เท่านั้น" เนื่องจากเรามีแหล่งพลังงานจากเอนไซม์อันจำกัด   แหล่งพลังงานนี้ก็จะสูญหาย ไปได้ 
เรื่อย ๆ จากนิสัยการบริโภคอาหารของเรา เช่น การรับประทานอาหารที่ปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่าง ๆ 
มากมาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานยา หรือแม้แต่การรับประทาน อาหารขยะ 
หรือพวกฟาสต์ฟูด   ก็มีส่วนในการทำลายเอนไซม์ในร่างกายของเราทั้งสิ้น

ท่านอาจจะได้ยินประโยคนี้กันอยู่บ่อย ๆ ว่า "You are what you eat" แต่แท้ที่จริงแล้ว มีส่วนที่ถูกต้อง

เพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งความจริงก็คือว่า "You are what you eat" ต่างหากนั่นเอง

เอนไซม์ในร่างกายทำหน้าที่อะไรบ้าง... หน้าที่ที่แม้จริงของเอนไซม์ ได้แก่ ย่อยอาหาร สลาย สารพิษ 

ทำให้เลือดบริสุทธิ์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง สร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัว 
กำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากปอด และลดความเครียดของตับอ่อนและอวัยวะอื่นๆ

เอนไซม์มีกี่ชนิด... เอนไซม์สามารถจัดจำแนกออกได้ 3 ชนิดคือ

1. เมทาโบลิกเอนไซม์ (metabolic enzyme) เป็นเอนไซม์ซึ่งทำงานอยู่ในเลือดเนื้อเยื่อและอวัยวะของ 
ร่างกายช่วยซ่อมแซมส่วนี่สึกหรอ บำบัดและรักษาโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย
2. ฟูดเอนไซม์ (food enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ได้มาจากอาหารสด
3. ไดเจสทีฟเอนไซม์ (digestive enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยอาหาร

อาหารจากธรรมชาติต่าง ๆ ล้วนแต่มีเอนไซม์อยู่ด้วยเพื่อที่จะช่วยในการย่อยสิ่งต่างๆ ที่เรารับประทาน 

เข้าไป เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เส้นใย น้ำตาลและนมเป็นต้น 
เอนไซม์ในอาหารเหล่าที่ว่านี้สามารถจำแนก ได้เป็น 7 ประเภท คือ

1. ไลเพส
(Lipase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกไขมัน
2. โพรทีเอส(Protease) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกโปรตีน
3. เซลลูเลส(Cellulase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารพวกเส้นใยพืชต่าง ๆ
4. อะไมเลส(Amylase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกแป้ง
5. แลกเทส(Lactase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกนม
6. ซูเครส(Sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกน้ำตาล
7. มอลเทส (Maltase) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยสลายอาหารจำพวกเมล็ดข้าว เป็นต้น


เมื่อเรารับประทานผักสดและผลไม้เข้าไป ร่างกายก็จะได้รับเอนไซม์เหล่านี้เข้าไป เอนไซม์เหล่านี้ 
จะไปช่วยให้การทำงานของเอนไซม์ที่มีอยู่แล้วในร่างกายให้ทำงานได้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น 
และยังช่วยใน การรักษา
 
ดร. เอ็ดเวิร์ด เฮาเวลล์ ยังได้ค้นพบว่าคุณภาพชีวิตและระดับพลังงานในร่างกายของเรานั้นขึ้นอยู่กับ
เอนไซม์ทั้งหลาย ถ้าหากร่างกายของเรามีเอนไซม์อยู่น้อยก็จะทำให้เรามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพด้วย 
ซึ่ง มีผู้ประมาณการเอาไว้อีกว่าประมาณร้อยละ 80 ของโรคในร่างกายมีสาเหตุมาจากร่างกาย
ไม่สามารถย่อยอาหารได้ และนอกจากนี้สารบางอย่างซึ่งเป็นพวกสารปนเปื้อนในอาหารก็จะ
ถูกร่างกายดูดซึม เข้าไปด้วย

เราได้รับเอนไซม์ที่สะสมมาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งปริมาณของเอนไซม์จะลดลงเรื่อยๆ ตามช่วงของอายุ 
ดังนั้นจึงมักพบว่าในผู้ใหญ่ ประสิทธิภาพในการผลิตเอนไซม์ของร่างกายจะลดลงทำให้เกิดปัญหา
ของการ พร่องเอนไซม์ในร่างกาย และนอกจากนี้สาเหตุของการขาดเอนไซม์ยังเกิดจากการที่เอนไซม์
สูญเสียสภาพไป  อันเนื่องมาจากการผ่านขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการปรุงอาหารโดยเฉพาะความร้อน 
เป็นต้น เราจึงต้อง มีการเพิ่มปริมาณเอนไซม์ให้กับร่างกายของเรา ซึ่งพบว่ามีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน 
ดังนั้นในวันหนึ่งๆ เราควร รับประทานอาหารจำพวกผักสดและผลไม้สดให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ของอาหาร ทั้งหมดที่เรารับประทาน เข้าไป เพื่อร่างกายของเราจะได้ไม่ขาดเอนไซม์และสุขภาพร่างกาย
ของเราก็จะดีด้วย
 
เอกสารอ้างอิง
Enzyme therapy for your help. (online). Available:http://health2us.com/enzyme.htm Retrived April 10, 2007
Enzyme therapy. (online). Available:http://library.thinkquest.org/24206/enzyme-therapy.htm Retrived April 10, 2007.
EnzymeWhat the Expert know. (online). Available:http://www.enzymetherapybook.com Retrived April 18, 2007.
ผู้จัดการออนไลน์. เคล็ดลับเอนไซม์บำบัด กินอาหารให้ได้ครึ่งหนึ่ง. 14 มีนาคม 2549.














































ขาดเอนไซม์ทำให้ร่างกายเกิดโรคจริงหรือ?


เอนไซม์บำบัด

พญ.ลลิตา ธีระสิริ

เอนไซม์ (enzyme) ก็คือโปรตีนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ทั้งในพืชและสัตว์ มันมีหน้าที่กระตุ้นการทำงานของกระบวนการเคมีในร่างกายให้ทำงานรวดเร็วขึ้น เอนไซม์แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ:


1. เอนไซม์ที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน (metabolic enzyme) เอนไซม์ชนิดนี้อยู่ในเลือด เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ เช่นในวงจรเคมีที่เรียกว่า วงจรเครป (Kreb's cycle) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานในเซลล์ของคนเรา ปฏิกิริยาเครปก็ต้องอาศัยเอนไซม์หลายตัว กระตุ้นให้วงจรเคมีดำเนินไปได้ และเกิดเป็นพลังงานให้เซลล์ของเรา ในเซลล์ร่างกายของเรายังมีเอนไซม์อีกบางจำพวก เอาไว้สลายสารเสียที่เซลล์ไม่ต้องการ เช่น เอนไซม์ SOD ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ


2. เอนไซม์ในอาหาร (food enzyme) เอนไซม์ชนิดนี้มีอยู่ในอาหารสด ในเซลล์สัตว์และเซลล์พืช เอนไซม์เหล่านี้บรรจุอยู่ในถุงเรียกว่าไลโซโซม (lysosome) เมื่อถุงของมันแตกออกก็จะย่อยสลายสารอาหารให้กลายเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ เพื่อจะได้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ง่ายขึ้น


3. เอนไซม์ย่อยอาหาร (digestive enzyme) เอนไซม์ชนิดนี้อยู่ในระบบทางเดินอาหารของคนและสัตว์ มันหลั่งออกมาจากเยื่อเมือกบุกระเพาะลำไส้ จากตับและตับอ่อน ทำหน้าที่ย่อยอาหารจากโมเลกุลใหญ่ให้เล็กลง ทำให้ถูกดูดซึมได้


ขาดเอนไซม์ทำให้ร่างกายเกิดโรค

ตั้งแต่ปี 1968 เป็นต้นมานักวิจัยด้านชีวเคมีได้สรุปว่า มีเอนไซม์มากกว่า 1,300 ชนิดที่เกี่ยวข้องในร่างกายของเรา และการพร่องเอนไซม์ก่อให้เกิดโรคหลายชนิด แบ่งได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้คือ


1. โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร การย่อยอาหารในระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ในปาก กระเพาะ และลำไส้เล็กล้วนแล้วแต่อาศัยเอนไซม์ช่วยย่อยทั้งสิ้น หากพร่องเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร เราจะมีอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย แน่นน้อง ท้องผูก ท้องผูกสลับท้องเสีย ทุกวันนี้เรามีเอนไซม์ช่วยย่อยใช้ในการบำบัดอาการที่กล่าวมา เช่น สารสะกัดจากตับอ่อน ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยที่หมอตามโรงพยาบาลและคลินิกจ่ายให้กับผู้ป่วย


แนวคิดใหม่คือ หากเรากินผักสด ผลไม้สด อาหารสด ในอาหารสดมีเอนไซม์อยู่แล้ว เอนไซม์นี้จะช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปด้วย เป็นการผ่อนภาระการย่อยของตับอ่อน อาการอาหารไม่ย่อยก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าใครกินแต่ของสุกทุกมื้อ ทุกวัน เอนไซม์จะหายไปกับความร้อนที่ใช้ปรุงอาหาร ตับอ่อนของคุณก็จะต้องผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารออกมามากกว่าจึงจะย่อยอาหารได้ ดังนั้นคนกินอาหารสุกตลอดก็จะเสี่ยงต่อภาวะอาหารไม่ย่อยมากกว่าคนที่กินผัก สดและผลไม้สดเป็นประจำ


ในมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสต์เทิร์นมีงานวิจัยเกี่ยวกับเอนไซม์อะไมเลสในกล้าข้าว บาร์เลย์สดว่าสามารถย่อยแป้งในกระเพาะอาหาร และในลำไส้เล็ก แสดงว่าหากเรากินผักสดและผลไม้สดที่มีเอนไซม์ในตัวมันเองอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของอาหารในกระเพาะ เช่น แป้ง จะถูกเอนไซม์ในอาหารสดย่อยไปขั้นหนึ่งก่อนที่อาหารจะผ่านไปถึงลำไส้เล็กแล้ว รับเอาเอนไซม์จากตับอ่อนที่หลั่งออกมาย่อยอาหารนั้น ๆ ต่อไป นับว่าการกินอาหารสดจะช่วยผ่อนเบาการทำงานของตับอ่อนไปได้มาก


2. โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันส่วนหนึ่งประกอบไปด้วยเม็ดเลือดขาวหลายชนิด เม็ดเลือดขาวเหล่านี้มีหน้าที่คอยทำลายสิ่งแปลกปลอม แบคทีเรีย ไวรัส และโปรตีนแปลกปลอมที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เม็ดเลือดขาวจะกลืนกินสิ่งเหล่านี้เข้าไป แล้วอาศัยเอนไซม์ในตัวของมัน มีอะไมเลส ไลเปส และโปรตีเอสเป็นต้น กำจัดสารพิษเหล่านี้ทิ้งอีกทอดหนึ่ง หากร่างกายขาดเอนไซม์ เม็ดเลือดขาวจะไม่สามารถกำจัดโปรตีนแปลกปลอมทิ้งก็จะเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ และหากเม็ดเลือดขาวกลืนกินแบคทีเรียและไวรัสเข้าไปโดยไม่มีเอนไซม์ไปกำจัด เชื้อโรคทิ้ง ภูมิต้านทานก็จะอ่อนแอลง คนคนนั้นก็จะป่วยง่าย


แนวคิดใหม่ก็คือ หากเรากินอาหารสดที่มีเอนไซม์ มันจะย่อยโปรตีนแปลกปลอมก่อนที่จะเข้าสู่ร่างกาย จึงสามารถลดอาการของภูมิแพ้ลง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือภูมิต้านทานไม่แข็งแรงจะต้องกินผักสดและผล ไม้สดปริมาณมากพอเป็นประจำทุกวัน


3. โรคอ้วน คนที่อ้วนมาก ๆ มักขาดเอนไซม์ไลเปส ถ้าไม่มีเอนไซม์ตัวนี้ไขมันก็จะพอกพูนตามผิวหนังทำให้อ้วนขึ้น แนวคิดใหม่ก็คือ หากเรากินผักสดและผลไม้สดเพิ่มมากขึ้น ด้านหนึ่งร่างกายจะไม่ขาดเอนไซม์ทำให้ไขมันไม่ไปพอกพูนตามผิวหนัง และอีกด้านหนึ่งผักสดและผลไม้สดมีแคลอรี่ต่ำ ทำให้ไม่อ้วน

สภาพเมื่อขาดเอนไซม์

สภาพของร่างกายเมื่อมีการขาดเอนไซม์เกิดขึ้น (Enzyme Deficiency Conditions)

อาการที่แสดงว่าร่างกายขาดเอนไซม์ (Enzyme Deficiency)

อาการที่ท่านรู้สึกด้วยตัวเอง (Symptom)ว่าท่านน่าจะขาดเอนไซม์ คือ

  • รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
  • อ่อนเพลียเป็นประจำ (Chronic Fatigue Syndrome)
  • ท้องผูก
  • ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ บางครั้งมีอาการจุกเสียด
  • ลมแน่นท้อง ผายลมมีกลิ่นเหม็น
  • อุจจาระจมน้ำ และอุจจาระเหม็นมาก
  • มีกลิ่นปาก
  • มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่าย บางครั้งถึงขนาดหอบหืด
  • เวลาเป็นแผลจะหายช้า
  • น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย

อาการที่แพทย์ตรวจพบ (Sign)ว่าท่านกำลังขาดเอนไซม์ คือ

  • ตับอ่อนบวม
  • เม็ดโลหิตขาวเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติหลังกินอาหาร 30 นาที
  • น้ำลายมีฤทธิ์เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7)
  • ในปัสสาวะมีสารพิษมาก เกิดจากอาหารไม่ย่อยจึงบูดในลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะดูดซึมพร้อมกับน้ำเข้าไปในกระแสเลือด ตับและไตจะกรองสารพิษเอาไว้ และจะขับสารพิษนี้ทิ้งออกทางปัสสาวะ
  • ระดับเอนไซม์ต่ำกว่าปกติในเลือด
  • ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย

ในอดีต เมื่อเราพูดว่าร่างกายขาดเอนไซม์ คือสภาวะอาหารไม่ย่อยแต่เมื่อศึกษาค้นคว้ามากขึ้น ในปัจจุบัน เราพบอาการต่างๆ อีกมากมาย เราสามารถแบ่งสภาพของการมีเอนไซม์บกพร่องออกได้เป็น 3ชนิดคือ

  1. สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (ProteaseDeficiency Conditions)
  2. สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions
  3. สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)

สภาพของการขาดเอนไซม์โปรตีเอส (Protease Deficiency Conditions)
ร่างกาย จะไม่สามารถย่อยโปรตีนให้มาเป็นสารอาหารชนิดกรดอะมิโน จึงเกิดอาการของโรคขาดโปรตีน (Protein Deficiency Symptom) มีความเป็นด่างสูงมากเกินไปในเลือด อาจมากกว่า pH 8.0 (Alkaline Excess) ซึ่งปกติมีค่า pH 7.4 การที่ร่างกายขาดความสมดุล (Homeostasis) เพราะด่างสูง กลายเป็นต้นเหตุของความรู้สึกกระวนกระวาย (Anxiety) จนบางคนต้องใช้ยากล่อมประสาทช่วย ดังนั้นควรให้กินเอนไซม์เสริมชนิดโปรตีเอส ก็จะช่วยให้ดีขึ้น ถ้าโปรตีนมีจำนวนต่ำในเลือด (Protein Deficiency) ทำให้เกิดอาการขาดแคลนแคลเซียมร่วมด้วย (Calcium Deficiency) แคลเซียมจะต้องอาศัยเกาะติดโปรตีนเมื่อเวลาไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิต ทำให้มีอาการข้ออักเสบ (Arthritis) ตามมาพร้อมโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) หมอนรองกระดูกเสื่อม (Degenerative Disc Problem) ฯลฯ ร้อยละ 45 ของโปรตีนในรูปของกรดอะมิโนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในตับ การที่โปรตีนไม่สามารถถูกย่อยได้จึงทำให้เกิดสภาวะน้ำตาลกลูโคสต่ำในเลือด (Hypoglycemia) ตามมา เป็นเหตุให้สมองขาดน้ำตาลกลูโคส เกิดความรู้สึกหงุดหงิด (Moody) รำคาญ และฉุนเฉียวง่าย

การขาดเอนไซม์โปรตีเอสก่อให้เกิดโรคขาดสารอาหารประเภทโปรตีน
การ ขาดโปรตีนในเลือดทำให้เกิดอาการบวมทั้งตัว (Edema) การย่อยโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีกากอาหารที่ไม่ย่อย (Undigested Protien) ไปสะสมบริเวณลำไส้ใหญ่ (Colon) เป็นสาเหตุการเกิดสารพาลำไส้ใหญ่อักเสบ (Mucous Colitis) ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) และอาจถึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) ได้ โรคตามมาที่คาดไม่ถึงคือ ในเด็กมักเป็นโรคช่องหูอักเสบเรื้อรัง หรือ หูน้ำหนวก (Otitis Media) กับโพรงจมูกของใบหน้าอักเสบ (Sinusitis) การรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะและใช้เอนไซม์โปรตีเอสร่วมด้วยจะทำให้หายเร็วขึ้น

ผลของการขาดโปรตีเอสที่กระทบโดยตรง อีกประการก็คือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหลายเป็นโปรตีนหรือบางชนิดก็มีโปรตีนเป็นตัวหุ้ม และโปรตีเอสเป็นเอนไซม์ที่สามารถย่อยเยื่อหุ้มที่เป็นโปรตีนให้แตกออกเพื่อให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายเข้าถึงตัวและทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้โดยง่าย

สภาพการขาดเอนไซม์อไมเลส (Amylase Deficiency Conditions)
เอนไซม์อไมเลสย่อย แป้ง ข้าว ให้เป็นสารประกอบเชิงเดี่ยว (Monosaccharide) เช่น น้ำตาลกลูโคส (Glucose) และย่อยเม็ดโลหิตขาวที่ตาย (คือ หนอง Pus)ให้หมด ไปดังนั้นถ้าร่างกายขาดเอนไซม์อไมเลส ท่านจะเกิดเป็นฝี (Abscess) ได้บ่อยๆ ผู้ป่วยที่ปวดฟัน เหงือกรอบฟันเป็นหนองง่ายมาก การที่กินหวานจัดๆ ร่างกายต้องใช้เอนไซม์อไมเลสมากจนผลิตไม่ทัน จึงทำให้เป็นฝีง่าย นอกจากนั้นยังเป็นที่ปอดและผิวหนังได้ง่ายอีกด้วย
ปอด และผิวหนังเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยมลภาวะการขาดเอนไซม์อไมเลสจึงทำให้เกิดอักเสบได้ง่าย ถ้าเป็นที่ปอดอาจจะแสดงอาการของโรคหืด (Asthma) และถุงลมพอง (Emphysema) ส่วนผิวหนังจะมีอาการของโรคผิวหนังเป็นสะเก็ดพุพอง มีน้ำเหลือง (Eczema) หรือเป็นโรคผิวหนังชื่อ สะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคเริม (Herpes)การรักษาให้ใช้เอนไซม์เสริมเพื่อกินร่วมกับยา โดยให้มีเอนไซม์อไมเลสในสัดส่วนที่มากกว่าเอนไซม์อย่างอื่น

สภาพการขาดเอนไซม์ไลเปส (Lipase Deficiency Conditions)
เอนไซม์ไลเปสมีหน้าที่ย่อยไขมันและวิตามินชนิดละลายในไขมัน การขาดไลเปสจึงเกิดโคเลสเตอรอลสูงในเลือด(High Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglyceride) เป็นต้นเหตุของน้ำหนักตัวเกินกว่าปกติ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Atherosclerosis) ความดันโลหิตสูง ตามมาด้วยโรคหัวใจขาดเลือด(Heart Inflection) โรคลมปัจจุบันหรือสมองขาดเลือด (Stroke)
การขาดเอนไซม์ไลเปสทำให้ความสามารถของเยื่อหุ้มเซลล์บกพร่องนั้นคือ สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายไม่อาจจะซึมผ่านเข้าเซลล์ ส่วนของเสียภายในเซลล์ก็ขับออกมาทิ้งข้างนอกไม่ได้
สำหรับอาการที่พบบ่อยๆอีกอย่างคือ กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง (Muscle Spasm) โดยเริ่มเจ็บร้าวจากบริเวณหน้าอก ไหล่ ลามมาที่คอ ดูคล้ายๆ คอเคล็ด บางครั้งมีกล้ามเนื้อเกร็งที่ลำไส้ใหญ่ (Spastic Colon) อาการต่างๆ ทั้งหมดนี้ ถ้ากินเอนไซม์ไลเปสก็จะช่วยให้ทุเลาขึ้น



ทำไมเอนไซม์ในร่างกายจึงบกพร่อง



ทำไมเอนไซม์ในร่างกายถึงบกพร่อง


การใช้เอนไซม์บำบัด (Enzyme Therapy), การมีเอนไซม์บกพร่อง (Enzyme Deficiency) เกิดจากหลายสาเหตุ
   

1. ถ้าทุกคนกินอาหารที่ปรุงแต่งอย่างปัจจุบันต้องมีปัญหาการขาดเอนไซม์
 
Dr. Dick Couey อาจารย์โภชนาการของBayloy University กล่าวว่า ในปัจจุบันพวกเรากินอาหารที่ไม่มีเอนไซม์ เพราะเป็นอาหารปรุงสำเร็จ (Processed) หรือ เอามาหุงต้ม (Cooked) ทำให้เอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย ดร.คูอี้ได้ย้ำว่า ตนเองจะไม่กินอาหารอีกถ้าไม่มีเอนไซม์เสริมมากินร่วมด้วย (I will never eat another meal without taking a plant enzyme supplement)

ตามทฤษฎี ร่างกายต้องใช้เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) เพื่อย่อยอาหาร ถ้ามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) มาเสริมด้วยกัน จะช่วยย่อยได้ครึ่งหนึ่ง แต่อาหารที่กินในยุคสมัยนี้ไม่มีเอนไซม์ตามธรรมชาติ เพราะถูกทำลายจากการหุงต้ม ดังนั้นร่างกายจึงต้องไปดึงเอาเมตาบอลิค เอนไซม์ มาเปลี่ยนโฉมให้เป็นเอนไซม์ย่อยอาหาร ถ้าทำบ่อยๆ จะมีระดับเอนไซม์ (เมตาบอลิค) บกพร่อง และเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ
       

2. ธรรมชาติสร้างตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme Inhibition)

พืชซึ่งมนุษย์ใช้กินทุกชนิด มีเอนไซม์ทำการย่อยอาหารอยู่ในตัวของมันเอง มีตัวห้ามหรือตัวยับยั้งเอนไซม์ ยังไม่ยอมให้ทำงานจนถึงเวลาอันควร เช่นเมื่อผลไม้ต้องสุกตามฤดูกาล โดยปกติตัวห้ามเหล่านี้จะเริ่มอ่อนแรง หรือหมดสภาพ ก็โดยสิ่งแวดล้อมรอบตัวมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อเราเคี้ยวอาหารในปากก็คือ เรากำลังทำให้สภาวะเดิมรอบข้างของตัวห้ามเปลี่ยนไปจนตัวห้ามหยุดทำงาน ทำให้เอนไซม์ในอาหารเป็นอิสระ เพราะไม่มีอะไรมายับยั้ง แต่อย่างไรก็ดี ตัวห้ามก็ยังมีจำนวนสูงอยู่มากในพืชบางระยะของการเจริญเติบโต เช่น ยอดใบไม้ ยอดผัก พืชยังอ่อน เป็นต้น

ในบางกรณี ท่านอาจกินอาหารประเภทยอดผักอ่อนสดๆ ท่านก็จะกินตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme Inhibitor) เข้าไปมากจนพลอยเข้าไปห้ามการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตออกจากตับอ่อนของตัว ท่านเองเข้าไปด้วย กลายเป็นมีเอนไซม์ติดลบ 

ทางเลือกที่หนึ่งคือ ท่านอาจจะต้องกินเอนไซม์เสริมชดเชย 
ทาง เลือกที่สองคือ เอายอดผักมาต้มเพื่อจะให้ความร้อนทำลายตัวห้าม (Inhibitor)แต่ก็จะพลอยทำลายเอนไซม์จากพืชซึ่งเป็นอาหาร(Food Enzyme)พร้อมกันไปเลยด้วย

3. อายุมากขึ้น การผลิตเอนไซม์ของร่างกายลดลง
 
ในสหรัฐอเมริกา นักวิทยาศาสตร์โรงพยาบาลไมเคิล รีส รัฐชิคาโก ได้ทำการวิจัยหาค่าของเอนไซม์อไมเลส (Amylase) ในน้ำลายจากคน 2 กลุ่มอายุด้วยกัน คือ กลุ่มหนุ่มสาว (21-31 ปี) กับกลุ่มคนชรา (69-100 ปี) พบว่า กลุ่มหนุ่มสาวมีเอนไซม์อไมเลสซึ่งใช้ย่อยอาหารประเภทแป้ง มากเป็น 30 เท่าของกลุ่มผู้สูงอายุ นี่คือเหตุผลที่ว่าเมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว กินอาหารประเภทสำเร็จรูป และ อาหารฟาสต์ฟู้ด (Fast Food) โดยไม่มีปัญหาการย่อย ไม่มีทางเจ็บป่วย แต่เมื่อแก่ตัว เอนไซม์ลดลง จะย่อยอาหารต่างๆ ได้ลำบาก ทำให้มีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง และถ้าพฤติกรรมการบริโภคยังเป็นอยู่อย่างนี้ (Poor Eating Habits) ท่านอาจแก่ตัวเร็วกว่าเพื่อนๆ ของท่านได้

4. มีสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การย่อยอาหาร (Digestion) บกพร่อง 

วิธีง่ายๆ ในการแก้ไขคือ ให้กินเอนไซม์ที่ผลิตมาจากพืชจะทำให้อาการกระเพาะและลำไส้แปรปรวนทุเลาลง ได้ ถ้าศึกษาย้อนกลับไปหาสาเหตุก็คือ การย่อยอาหารไม่ดี การมีสารพิษ (Toxin) เนื่องจากมีกากอาหารที่ไม่ย่อย หมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาการต่างๆ ดังกล่าว เชื่อว่าการกินเอนไซม์เสริมชนิดช่วยย่อยจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

ถึงแม้ร่างกายผลิตเอนไซม์เพื่อย่อยอาหารได้เอง แต่สาเหตุที่ทำให้ผลิตเอนไซม์บกพร่อง ทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ที่พบบ่อยคือ

1.ขาดการออกกำลังกาย และอยู่ในที่สิ่งแวดล้อมมีมลภาวะ (Poor Life Style)
 

2.มีความเครียดทั้งทางร่างกาย หรือ ทางจิตใจ (Stress Physical or Mental)
 

3.ดื่มสุรา อาหาร หรือน้ำไม่สะอาด (Alcohol, Polluted Food or Water)

4.กินอาหารปรุงสำเร็จซึ่งเอนไซม์ในอาหารถูกทำลาย (Not just Fast Food, Eat even Cooked Food)